รีวิว สยามสแควร์ (มิตรภาพ และคุณค่าในตัวเอง ที่มีผีชี้ทาง)
หนังใหม่อีกเรื่องในสัปดาห์นี้ ที่ค่อนข้างน่าสนใจ อยากดูป่ะล่ะ! งั้นไปดูกัน
"เราแก้สิ่งที่ผ่านไปแล้วไม่ได้ แต่เราเลือกได้ว่าจะเป็นในสิ่งที่คนอื่นบอกให้เป็น หรือ เราจะเลือกเป็นในสิ่งที่เราเป็นจริงๆ"
"สยามสแควร์" หนังเรื่องแรกที่ ไพรัช คุ้มวัน กำกับอย่างเต็มตัว หลังจากที่เคยผ่านงานกำกับภาพมาแล้ว ใน '36' (2012) และผลงานรางวัลอย่าง 'Mary is happy, Mary is happy' (2013) เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงความน่าสนใจ หนังเรื่องนี้ ก็เป็นอีกเรื่องที่น่าดูในสัปดาห์นี้
หนังหยิบเอาช่วงเวลาของวัยรุ่น และสถานที่อันมีชื่อเสียงของวัยรุ่นมาหลายสิบปี อย่างสยาม มาเป็นโลเคชั่น และตั้งคำถามให้ว่า ถ้าเกิดมีผีในสักที่ ที่จะยึดโยงกับวัยรุ่นได้ ก็คงต้องเป็นสยามสแควร์นี่แหละ น่าจะเหมาะสุด
ด้วยแอดเป็นคนที่ชอบดูหนังผีเอามากๆ และเท่าที่ดูมามีหนังผีไม่กี่เรื่องที่ทำให้แอดตกใจได้ จนเรียกได้ว่าหลังๆ มีหนังผีไม่กี่เรื่องที่แอดเลือกดู แต่ด้วยความน่าสนใจของพล็อตเรื่องที่แปลกใหม่ จึงต้องตาแอด ตั้งแต่แรกที่เห็นทีเซอร์ ทันที
เรื่องย่อ
เด็กสยามจริงๆ มันก็คือเด็กวัยรุ่นที่ชอบมาเดินเล่น ช้อปปิ้ง กินข้าว หรือมีกิจกรรมพิเศษที่ต้องทำร่วมกับเพื่อนๆ ซึ่งหากนึกถึงสยามก็คงไม่พ้นการนึกถึงสถาบันกวดวิชาต่างๆ ที่่วัยรุ่นทุกยุคทุกสมัย ต้องมานั่งเรียนกัน แต่การมานั่งเรียนพิเศษในห้องเรียนเก่าๆ ที่มีตำนานของผี และไม่รู้ว่ามันผ่านอะไรมาบ้าง มันช่างไม่พิศมัยเอาเสียเลย
ตัวละครในหนังเรื่องนี้ เป็นวัยรุ่นเกือบทั้งหมด เรื่องราวของวัยรุ่นก็คงหนีไม่พ้นความสนุกของการอยากรู้อยากลอง เมื่อพวกเขาพบเรื่องที่ถูกเล่าขาน ของผีเด็กหญิงคนหนึ่งที่ยังคงเดินวนเวียนอยุ่ในสยามเพื่อหาทางกลับบ้าน และถ้าเธอมาเข้าฝันใคร พวกเขาจะถูกผูกข้อมือด้วยด้ายสีแดง และไม่นาน คนๆ นั้นก็จะไม่รอดชีวิต!
แล้วก็ได้เวลาสืบหาเรื่องราวที่เล่าขานกันมา ค้นหาว่าความจริงของมันคืออะไร เหตุไฟดับทั้งสยามส่งผลอะไรต่อเรื่องราว และเด็กสยามที่ผ่านเหตุการณ์นี้มา พวกเขาจะเป็นอย่างไร
แอดค่อนข้างยอมรับการรีวิวหนังผี โดยไม้่ให้หลุดสปอยล์เลยนั้น ค่อนข้างยาก และยิ่งเป็นเรื่องนี้ แอดว่ายิ่งยากใหญ่ แต่จะพยายามถ่ายทอดออกมาให้ดีที่สุด
จะเห็นว่าแอดยังไม่พูดถึงชื่อ หรือ ตัวละครเลย แม้แต่คนเดียว ก็เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะตัวละครในเรื่องนี้มีเยอะเกินไป เรื่องมันเลยเดินไปแบบสะเปะสะปะ ไร้ทิศทาง กว่าจะหาพ้อยด์ของเรื่องเจอ ก็ผ่านไปเกือบครึ่งเรื่อง การที่มีตัวละครเยอะเกินไป อีกทั้งหนังพยายามจะให้ทุกคนมีเรื่องราว และเส้นเรื่องเป็นของตัวเอง จนทำให้มีเรื่องราวและตัวละครในหนังที่ไม่จำเป็นเยอะเกินไป จนไม่รู้จะใส่มาทำไม เรื่องราวบางคนถูกดึงเส้นเรื่องขึ้นมาพูด และก็จบแค่นั้น ไม่เล่าต่อ บางเส้นเรื่องก็ออกนอกลู่นอกทาง จนคิดว่าน่าจะตัดๆออกไปก็ได้ ถึงไม่มีก็ไม่ทำให้เรื่องเปลี่ยนแปลง บางเส้นเรื่องก็ไม่มีความเกี่ยวโยงใดๆ กับเส้นเรื่องหลักเลย ซึ่งในหนังจะมีบางคนที่เอาคาแรกเตอร์อยู่ และโดดเด่นออกมาอย่างโอปป้า เบสต์ ณัฐสิทธิ์ โกฏิมนัสวนิชย์ ที่เล่นได้ดีในบทฮา และอีกคนที่เด่นก็คงเป็น พลอย ศรนรินทร์ ที่เล่นได้เข้าถึงอารมณ์ดี
ยังไม่รวมถึงการเอาเรื่องรัก และประเด็นปัญหาของวัยรุ่น ที่ใส่เข้ามาได้อย่างไม่ลงตัว จนทำให้ตัวหนังมีความสับสน แสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะเกลี่ยบท แต่ทำออกมาได้ไม่ดีพอ อีกทั้งหนังไม่ได้ใช้โลเคชั่น สยามสแควร์ ได้อย่างคุ้มค่า จนคิดว่าตั้งชื่อหนังสยามสแควร์ เพราะแค่ต้องการสมมติให้ มีผีอยู่ในสยามอย่างเดียวใช่มั้ย เพราะฉากส่วนใหญ่ กลับกลายเป็นฉากในห้อง และตึกเรียนกวดวิชา ซึ่งตึกเรียนกวดวิชานั้น ไม่สามารถทำให้รู้สึก Convince ได้เลย สถานกวดวิชา ที่ดูทรุดโทรม ซอมซ่อ ขนาดนี้ ยังจะมีผู้ปกครองยอมปล่อยลูกมาเรียนอีกเหรอ? นี่ขนาดไม่ต้องนับ เรื่องเก้าอี้ด้ายแดง ที่ในเรื่องเชื่อว่ามีผีนั่งอยู่ ซึ่งก็หลอนพอที่จะทำให้ไม่มีเด็กคนไหนกล้ามานั่งเรียนหรอก Impossible มาก ที่ยังเห็นเด็กในหนัง นั่งเรียนกันหน้าสลอนขนาดนี้
ที่กล่าวมา นั่นคือ ข้อเสีย แต่เรื่องนี้จะไม่มีข้อดีเลยเหรอ
ข้อดี ของเรื่องนี้ที่ต้องชื่นชม คือ ประเด็นดราม่า ค่อนข้างที่จะน่าสนใจ เพราะดูมีความซับซ้อนกว่าหนังไทยหลายๆ เรื่อง หนังค่อนข้างที่จะผูกปมได้ดี และกล้าที่จะเลือกหยิมประเด็น และมุมมอง ใหม่ๆ ของทั้งผี ปัญหาวัยรุ่น เรื่องราวของมิตรภาพ และการทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด ด้วยประสบการณ์อันน้อย โดยไม่แคร์ถึงผลที่จะตามมา ผ่านการเอาผี มาเป็นตัวดึงดูด และนำพาหนังไปสู่ประเด็นสำคัญที่ หนังต้องการสื่อจริงๆ ได้อย่างมีชั้นเชิง
นอกจากนี้ความน่ากลัวของผี ก็อยู่ในระดับที่ดีงาม พาให้คนที่ไปดูหลอนได้หน่อยๆ แต่ไม่ถึงกับน่ากลัว ขนาดต้องวิ่งหนีหรือตกอกตกใจอะไร (นอกจากคนนั้นจะกลัวผีเป็นทุนเดิม) และหนังยังทำได้ดี ในเรื่องของการตัดต่อ และการเล่าเส้นเรื่องหลัก มีการลำดับเวลาเหตุการณ์ต่างๆ ได้ดูน่าสนใจ จนรู้สึกอยากติดตาม และลุ้นในการหาคำตอบของที่มาที่ไปในเรื่อง ไปพร้อมๆ กับตัวละคร ฉากบางตอนก็ทำให้นึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ของสยามสแควร์ ในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี จนทำให้รู้สึกเคลิ้มตาม
"ผีมีความเป็นไซไฟ และที่มาที่ไปที่แปลกแหวกแนว เหมือนดูหนังสยองขวัญ ที่มีความเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ไปในตัว"
ดังนั้น สยามสแควร์ จึงไม่ได้เป็นแค่หนังผีทั่วไป หากมีความเป็นหนังลึกลับผสมอยู่ด้วย ไม่ใช่หนังผีที่ดูแต่จะมุ่งให้คนกลัว แต่กลับแฝงข้อคิด และมุมมองใหม่ๆ ไว้มากมาย
สรุปเลยก็แล้วกัน หนังเรื่องนี้โดยรวมถือเป็นหนังที่ดูได้อยู่ หากตัดประเด็นรองๆ และเส้นเรื่องที่ไม่จำเป็นออก หนังเรื่องนี้จะดีกว่านี้มาก เพราะถือว่าเป็นหนังที่สอบผ่านในเรื่องของปม และลูกเล่นที่วางไว้ในเส้นเรื่องหลัก แม้เรื่องอื่นๆ ในหนังจะดูมั่วๆ งงๆ แต่อย่างน้อยเรื่องนี้ ก็ยังพอมีนักแสดง วัยรุ่นทั้งชาย หญิง ให้ดูเพลินตาอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
ซึ่งคะแนนมาจากความชอบส่วนตัว คือ 6/10 อย่างน้อยเราก็รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ไม่แย่อะไร และเห็นความตั้งใจในการทำหนังของทางทีมงาน
พูดมาขนาดนี้ อยากดูป่ะล่ะ! ถ้าอยากดู ฉายแล้ววันนี้ทุกโรงภาพยนตร์
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น