LIVING SPACE : OPEN HOUSE (ที่ขลุกตัวใหม่ใจกลางเมือง)
"OPEN HOUSE : A Collective Living Space Where Special Indulgences Happen Every Day"
เมื่อหลายวันก่อน ขณะที่กำลัง Search อากู๋ เพื่อจะหาที่สิงตัว สำหรับอ่านหนังสือแห่งใหม่ ก็ไปเจอกะที่นี่เข้า นั่นก็คือ OPEN HOUSE อยู่บนห้าง Central Embassy ชั้น 6 โอ้วว้าวกำลังอยู่แถวสยามพอดี
ลองไปป่ะล่ะะะะ! - แบบนี้ก็เลยต้องจัด รีบพาตัวเองขึ้น BTS ไปทันที
พอไปมาแล้ว เลยจัดรีวิว และภาพสวยๆ มาให้ดูกันหน่อย
ตั้งแต่ TCDC ย้ายฐานไปอยู่แถวไปรษณีย์กลาง ตรงเจริญกรุง ที่ขลุกตัวใจกลางเมืองก็หายไป 1 ที่ และการมี Open House ก็ถือเป็นข่าวดี สำหรับหลายๆคน ที่กำลังหาที่แฝงตัวทั้งวันได้ในวันว่าง
Open House ถือเป็น Co-Living Space แห่งใหม่ ที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน ซึ่งเป็นสถานที่ ที่ให้ทุกคนสามารถมาทำกิจกรรม และใช้ชีวิต อยู่ได้ทั้งวัน เพราะที่นี่มีทั้ง ที่นั่งชิล ที่นั่งอ่านหนังสือ ที่นั่งทำงาน และที่ขาดไม่ได้ สำหรับพวกเรา คือที่นั่งกิน 😆😆😆
จากที่ทราบคร่าวๆ ที่แห่งนี้ ถูกสร้างสรรค์และออกแบบโดย KDa บริษัทออกแบบสัญชาติญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้รังสรรค์ ออฟฟิศของ Google และ Youtube ในโตเกียว อีกทั้งสโตร์สุดล้ำของ Uniqlo ในย่านกินซ่า
ไม่แปลกใจเลย เพราะเมื่อมาถึงที่นี่ จะรู้สึกว่าการออกแบบสถานที่ ดูแปลกตาออกไป จากที่อื่น ดูมีความเก๋ ลงตัวแบบมินิมอล ทุกอย่างดูโดดเด่น ตั้งแต่พื้นจรดเพดาน อีกทั้งรอบๆ ทำเป็นกระจก เพื่อให้ดูสบายตา และเห็นวิวได้ 180 องศา อีกด้วยยย
เดี๋ยวเรามาเริ่มดูทีละโซนๆ ไปด้วยกันเลยดีกว่า
ขึ้นบันไดเลื่อนขึ้นมาปุ๊บ จะเจอกับจุดนี้ ซึ่งเป็น ป้ายด้านหน้าทางเข้า
รู้สึกชอบการออกแบบ Logo และ Quote ของที่นี่จัง 😊
มาเริ่มดูจากแผนที่เลยละกัน
พื้นที่ทั้งหมดชั้น 6 แบ่งออก เป็น 8 โซน
Eating Deck โซนของกินสุดแจ่ม แบบ Semi-Service / Eating By The Park โซนอาหาร Full Service ที่มีทิวทัศน์เมืองให้ชม / Outdoor Terrace ซึ่งมี Balcony สำหรับออกไปชมวิว / Stores โซนซื้อขายงานศิลปะ / Open House Bookshop สำหรับจำหน่ายหนังสือ / Plays สำหรับเด็กๆ และ Workshop สนุกๆ
ส่วนโซนสุดท้ายอย่าง Entertainment เป็นโรงหนัง Embassy Diplomat ซึ่งดูไม่ค่อยเกี่ยวเท่าไหร่ เพราะมีมาตั้งนานแล้ว
เรามาเริ่มไปทีละโซน ไล่ตามโซนที่ชอบดีกว่า (แต่ของกินซึ่งชอบสุด เราต้องเก็บไว้หลังสุด 55)
โซนแรกก็คือ Book Store!
ร้านหนังสือที่นี่ ได้รับการสนับสนุนจาก คุณเชน สุวิกะปกรณ์กุล เจ้าของร้านหนังสือ อาร์ตๆ อย่าง Hard Cover ซึ่งคุณเชน ถึงกับมาครีเอตออกแบบสถานที่เอง ให้เป็นแบบ Celebration of Print Culture ที่ต้องการมากกว่าร้านขายหนังสือ แต่ให้เป็นแหล่งรวมสิ่งพิมพ์หายากจากทั่วโลกกว่า 20,000 เล่ม
ทำให้ที่นี่ดูจะแปลกตา ต่างไปจากร้านหนังสือที่อื่นเสียหน่อย เพราะมีความสวยงามของการจัดวางชั้นหนังสือ และคัดหน้าปกหนังสือที่มาวางเรียงกันได้ลงตัว จนดูเป็นงานอาร์ตดีๆ นี่เอง
หนังสือหน้าปกสวยๆ เต็มเลย แถมยังให้พลิกให้เปิดดูได้อย่างหนำใจ ไม่มีหวง
หนังสือเหล่านี้ไม่ได้โชว์อย่างเดียวนะ เค้าขายด้วย แต่หนังสือหายากอะนะ ราคาก็คงไม่ต้องพูดถึง แต่สายอาร์ต สายแฟชั่น เชื่อว่าจะชอบ
อื้อหืออออ มองไปทางไหนก็ดูดี โดยเฉพาะ...
อ่าวๆ ผิดรูปๆ 😃😆 เราหมายถึงมุม ชั้นลอย น่ะ
เราว่ามันสวยและดูดี ไม่ต้องพูดอะไรมาก เห็นได้จาก คนพากันขึ้นไปถ่ายรูปกันเต็ม เชื่อว่ามุมนี้จะเต็ม IG ในอีกไม่นาน
นี่พยายามหลบคน และรีบขึ้นไปถ่ายรูปมาให้ยลสุดฤทธิ์
แถมด้านบน ยังมีที่นั่งสำหรับให้ หยิบหนังสือมานั่งอ่านกันด้วยน้า
แต่ก็ไม่ใช่จะมีแต่หนังสือหายาก และหนังสืออาร์ต นะ
ที่นี่ก็ยังมีหนังสือปกติ จำหน่ายเช่นกัน
แต่หนังสือที่เอามาจำหน่าย ก็ยอมรับว่า ไม่ใช่หนังสือที่หาได้ทั่วไป ยอมรับว่า Cover หนังสือที่นี่ส่วนใหญ่ที่เอามาจำหน่าย สวยมาก
และไม่ต้องห่วงเลย ที่นี่มีมุมให้หนังอ่านหนังสือเยอะมาก แถมตามที่นั่งส่วนใหญ่ ที่เป็นโซฟา ก็มีที่ให้ชาร์จมือถือ ด้วยแระ
แต่ทุกที่ย่อมมีกฎ โดยข้อห้ามสำคัญคือ ห้ามนำหนังสือที่จำหน่ายไปนั่งอ่านบนโต๊ะทานอาหาร
ซึ่งกระจายอยู่ทั่วไปในโซนร้านหนังสือ
ก็โอเคนะ
แค่เอาหนังสือหายากมาให้เปิดเล่นก็เป็นบุญมือแระ
มากันที่โซนต่อไป ก็คือ ห้องน้ำ รู้สึกปวดอยู่พอดี
อุ้ย! ไม่ช่ายๆ
โซน Art Tower ตะหาก 😆😆😆
แต่จะบอกว่าห้องน้ำที่นี่ วิวโคตรสวย ไม่ได้ถ่ายมาฝาก แต่มาแล้วต้องลองเข้านะ เตือนแล้วนะ!
ใกล้กับร้านหนังสือ ก็ยังมี Art tower อาคารเล็กๆ 3 ชั้น เอาไว้โชว์งานศิลปะ โดยศิลปินจากไทยและเทศ
เห็นเค้าบอกว่าจะมีงานศิลปะ และ Workshop ต่างๆ ให้กับผู้เสพย์งานศิลป์ หมุนเวียนไปเรื่อยๆ สำหรับผู้ที่ต้องการเสพย์งานศิลป์ทุกคน
ที่นี่ยังมี โซน Co-Thinking Space สำหรับคนที่อยากมานัดคุยงาน นัดทำงาน พร้อมมี Wifi, ห้องประชุม และ Open Bar สวยๆ ที่มีอาหาร กับขนมทานเล่น รวมถึงคอกเทลและแอลกอฮอล์ให้จิบเพลินๆ
แหมๆๆ รู้สึกถ้ามาที่นี่จะไม่ได้คุยงานยังไงก็ไม่รู้ววว 555
แต่ทุกอย่างย่อมมีค่าใช้จ่าย ซึ่งก็มีแพ็คเกจ แตกต่างกันไป
ซึ่งถ้าทานอาหาร และเครื่องดื่ม 200.- บาท ขึ้นไป ได้ Wifi ฟรี 3 ชม. นะจ้ะ
เชื่อว่าถ้ามานั่ง ยังไงก็ถึง ต้องกินแน่นวล
มีห้องประชุม หลายขนาดให้เช่า คิดรายชม.
ที่นี่ยังมีโซน Plays ซึ่งแบ่งเป็น เด็กและผู้ใหญ่
ผู้ใหญ่ ก็มีโซน Workshop สวยๆ หลบอยู่ในมุมหนังสือ ช่วงนี้ ก็เป็นการประดิษฐ์ สวนเทียมในโหลแก้ว ลองไปจัดกันนะ ได้สมาธิดีและเพลิดเพลินอย่างบอกไม่ถูก แอดเคยจัดมาแล้ว
คุณลุงฝรั่งคนนี้ ดูอินเป็นพิเศษ
ส่วนโซนของเด็ก ก็คือ ตรงที่มีเบาะหลากสีด้านบนในภาพ ซึ่ง ณ นาว ยังไม่เปิด
ในที่สุด ก็มาถึงโซน ที่แอดชอบสุด นั่นก็คือ โซนของกินนั่นเอง 😋
ที่นี่มีร้านเข้ามาเปิดเพียบ แทบจะครบทุกสัญชาติ
หืมมมมมม! น่ากิน...
เอ๊ะ! ผิดรูป 😛😛😛
เราหมายถึงร้านอาหารน่ะ 555
เรามาเริ่มที่ร้านแรกเลยดีกว่า
ร้านที่อยู่ด้านหน้าสุด ก็คือ ร้านกาแฟเรียบ เท่ อย่าง Coffeeology
ร้านที่สองคือ ร้านพิซซ่านโปเลียน ชื่อดัง อย่าง Peppina
มี Balcony View สวยๆ ให้ดูด้วย
ถือว่าร้านนี้เป็นร้านที่ให้บริการแบบ Full service และยังมีอีก 2 ร้านข้างๆ
คือ Rico กับ Lady Nara ซึ่งยังไม่เปิด เห็นว่ายังไม่เรียบร้อย
มาดูโซนที่เป็นร้าน กึ่งบริการตัวเองกันบ้าง ซึ่งไม่มีที่นั่งกินเป็นส่วนตัว
แต่ที่นั่งกิน จะปะปนไปกับที่นั่งอ่านหนังสือ ซึ่งกระจายอยู่ทั่วไป สังเกตง่ายๆ คือจะมีแผ่นรองจานแบบภาพด้านบน ถ้าเจอปุ๊บ ก็นั่งได้เลยจ้า
ไล่ไปทีละร้าน เริ่มที่ไอติมอร่อยๆ อย่าง Movenpick
Bao & Buns
อาหารญี่ปุ่น ดีๆ แพงๆ อย่าง Muteki
Meat Bar สำหรับคนรักเนื้อ
หรือจะมานั่งกินอาหารทะเลสดๆ กับ แชมเปญ ที่ Raw Bar
ถ้าเกิดเครียดจากการประชุม ก็มานั่งจิบ คอกเทล หรือ เบียร์ ต่อกันได้ที่ Casks
หรือต้องการโปรตีนบำรุง ก็ไปทานสเต็ก และไข่ ที่ร้าน Egg My God
ต่อไปเป็นร้านอาหารที่ชอบ อย่าง Broccoli Revolution ซึ่งน่าจะถูกใจสาวๆ สายเฮลตี้
เพราะร้านนี้เน้นอาหาร มังสวิรัติ เป็นธีมหลัก
แอดสายกิน จึงขอบายยย
แต่ร้านนี้ก็ยังเข้าใจสายกินอยู่บ้าง เพราะอาศัยโซนหน้าร้าน
เป็นที่ตั้งร้านของหวาน ซึ่งดู Contrast กันเอาเรื่องอยู่ 555
ซึ่งขนมร้านนี้ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นขนมจากร้าน PARIS MIKKI นี่เอง
.ใครจะห่วงเรื่องที่นั่งไม่มี คิดว่าไม่ต้องห่วงนะ คิดว่าเหลือเฟือจริงๆ
ส่วนสำคัญ ก็พูดไปหมดแล้ว ส่วนที่เหลือ ก็มีมาเพื่อเติมเต็มให้ที่นี่ดูมีอะไรมากขึ้นเท่านั้น
อาทิ Balcony ที่ให้ออกไปชมวิว ถ่ายรูปสวยๆได้
ร้าน Design Shop ไว้ให้นักช้อปไอเท็ม สวยๆ หาที่ไหนไม่ได้ อาทิงานเซรามิก งานไม้ ไปจนถึงของกระจุกกระจิกอย่างเครื่องเขียน
นอกจากนี้ที่นี่ ยังมีดนตรีสด มาร้อง มาบรรเลงให้ฟัง ทุกวัน ศุกร์-อาทิตย์ สลับหมุนเวียนกันไป
แบ่งเป้น 2 ช่วง คือ ช่วงบ่าย และ ช่วงค่ำ
อย่างตอนที่ไป เป็นช่วงบ่าย ก็จะมี คุณ Mario Trance มาโซโล่กีตาร์ ร้องเพลงให้ฟังแบบเพลินๆ
ซึ่งใครอยากรู้ว่ามีกิจกรรมอะไรให้ติดตามในช่วงนี้บ้าง ก็เอานำตารางงานมาให้ชมกัน
และที่นี่ยังมีไฮไลท์ สุดท้าย เป็นขั้นบันได สวยๆ เหมือนตรง สยามดิส ชั้นบน สำหรับให้มานั่งคุย นั่งอ่านหนังสือเก๋ๆ ได้อีกหนึ่งมุม
โดยชั้นบนก็ทำเป็นที่นั่งตามมุม ต่างๆ เหมือนนั่งอยู่ในร้านหนังสือที่ญี่ปุ่นเลย ช่างเรียบและดูดี
สามารถขึ้นไปเก็บภาพในมุมสูง ได้ด้วย
- รู้สึกชอบบรรยากาศ ชอบความครบครัน ชอบผู้คนที่ดูไม่วุ่นวาย และชอบความเรียบเก๋ ของที่นี่ อย่างน้อยก็ทำให้รู้สึกว่า Embassy เป็นห้างที่ดูมีอะไรขึ้นมานิดนึง -
สุดท้าย โดยรวมเราว่าโอเคเลย ใครว่างๆ ก็ลองแวะไปเยือนดู อาจจะกลายเป็นสเปซ หรือที่ขลุกตัวใหม่ๆ ของใครหลายๆ คน
ส่วนเรื่องร้านอาหาร ไม่ต้องถามราคา แค่เห็นชื่อร้านก็พอเดาได้แล้วว่า อาจสูงเกินมนุษย์เงินเดือนไปเสียหน่อย ซึ่งยังคงไม่ทิ้งลายความเป็น Embassy ที่ดูเป็นห้างราคาแพง (หมายถึงของอะนะ ที่ราคาแพง) ซึ่งไม่ใช่ที่ทุกคนจะไปเดินแล้ว จะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมา
แต่ถ้าเบื่อแล้วกับการไปนั่งในสตาร์บัค เพื่อนั่งอ่านหนังสือ ทำงาน กินกาแฟ สักแก้ว การไปที่นี่ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศก็คงจะดีไม่น้อย
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
เปิดบริการทุกวัน 10.00-22.00 น. ที่ Central Embassy ชั้น 6 (ชั้นโรงหนัง)
โทร. 02-119-7777 (สำหรับจองห้องประชุม และร้านอาหาร)
ทิ้งท้ายไปด้วยรูปสวย ก่อนจาก --- รีวิวขนาดนี้ อยากลองไปแล้วใช่ป่ะล่ะะะะ!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น