รีวิว (ไม่สปอยล์) : Guardian of the Galaxy 2 (เกรียนเต็มขั้น มันส์ทะลุจักรวาล)

หนังใหม่สัปดาห์นี้ ซึ่งอาจไม่ต้องเสียแรงแนะนำอะไรเลย เชื่อว่าหลายคนคงจะไปดู

ไม่ต้องถามว่าอยากดูป่ะล่ะะะะะะ? คิดว่าคงไม่มีใครกล้าพลาดหนังค่าย Marvel แน่นวล

"Sometimes, The Thing You've been looking for your whole life, 

is right there beside you all along."

หลังจากประสบความสำเร็จแบบสุดๆ จากภาคแรก ผ่านมาเกือบ 3 ปี ล่าสุดก็ปล่อยภาคสองแห่งความเกรียนออกมา ทะลุจักรวาลกันอีกครั้ง กับ Guardian of the Galaxy Vol.2 (รวมพันธุ์นักสู้พิทักษ์จักรวาล 2) ครั้งนี้มากับศัตรูตัวใหม่ และการที่ต้องรักษาความเป็นครอบครัวที่เพิ่งเกิดขึ้นมาไม่นาน ไปกับการหาผู้ให้กำเนิดที่แท้จริงของพระเอกสุดหล่อ ปีเตอร์ ควิลล์ (Star-Lord : Chris Pratt)

โดยภาคนี้สเกลใหญ่ขึ้น โลกมันใหญ่ขึ้น ตัวละครมากขึ้น  และยังมีจุดเชื่อมต่อไปยัง Avenger Infinity War เหมือนเดิม (จักรวาลมันกว้างกว่าที่คิดเยอะ )

เรื่องย่อ แบบไม่สปอยล์ มากสุดก็ตาม Trailer

กลุ่ม Guardian of the Galaxy ได้แก่ Peter Quill หรือ Star-lord (Chris Pratt จาก Jurassic World), Gamora (Soe Zaldana จาก Avatar), Drax (Dave Bautista จาก Spectre), Rocket (Bradley Cooper จาก Silver Linings Playbook) และ Baby Groot (Vin Diesel จาก Fast & Furious) ต้องรับมือกับชาว Severeign ชนเบ่าตัวสีทองอร่าม ผู้ปกครองโดย ราชินี Ayesha (Elizabeth Debicki จาก The Man of U.N.C.L.E.) และ พวกของ Yondu (Michael Rooker จาก The Walking Dead) พ่อเลี้ยงตัวสีฟ้าของปีเตอร์

ระหว่างการเดินทางผจญภัย จะเป็นการทดสอบความสัมพันธ์ของกลุ่มนี้ รวมถึงความสัมพันธ์พี่น้อง ระหว่าง Gamora และ Nebula (Karen Gillan) และความสัมพันธ์ระหว่างพ่อพระเอกปีเตอร์ กับ EGO (Kurt Russel) ชายผู้อ้างเป็นพ่อของเขา

พูดเลยว่าใครที่ชอบภาคแรกเป็นทุนเดิม ยังไงก็ต้องชอบภาคนี้เช่นเคย ไม่ต้องสงสัย เพราะถ้าชอบ ก็แสดงว่าเข้าใจคาแรคเตอร์ตัวละครอยู่แล้ว เพราะทุกคนในเรื่อง ก็ เอ๋อๆ งงๆ บ้าๆ แบบนี้แหละ 555

สำหรับใครไม่เคยดูภาคแรก ก็อาจจะไม่เต็มอิ่มเท่ากับคนที่เคยดู หรืออาจไม่เก็ตบางมุก แต่เรื่องราวเล่าง่าย ไม่เข้าใจยาก ไม่ต้องคิดตามอะไรเลย ก็แค่งานตามหาพ่อ พร้อมการพิทักษ์จักรวาลเหมือนเดิม 

สำหรับงานภาพยังดีงามเหมือนเดิม อีกทั้งงานสีฉูดฉาดก็ยังจัดเต็มไม่ทิ้งภาคแรก อีกทั้งเพลงประกอบยังคงเสน่ห์ และความเป็นองค์ประกอบสำคัญไม่แพ้ภาคแรก แม้จะไม่รู้จักสักเพลง แต่ความหมายก็กินใจ และสร้างความสมบูรณ์ให้กับเรื่องราวได้เป็นอย่างดี

ด้านเนื้อหาในภาคนี้ ยังจัดเต็มที่เช่นเดิม มีประเด็นมากขึ้น โดนเฉพาะประเด็นครอบครัว บทจะฮา ก็ เกรียนฮาได้สมใจ คูณ 2 จากภาคเก่า ส่วนบทจะเศร้าก็ซึ้งกินใจ และยังมีประเด็นเรื่อง Racism หน่อยๆด้วย ประเด็นหนังดูไม่ยัดเยียดเกินพอดี กำลังลงตัว

ฮาตลอดเรื่อง จนควรเปลี่ยนหมวดหนังเรื่องนี้ไปเป็น Comedy ได้แล้ว บทจะบ้าก็บ้า บทจะดราม่าก็ลากไปซึ้งได้ ดูแล้วกลมกล่อม และหัวเราะลั่นโรง ไม่ใช่เพราะฮานะ แต่เพราะความเอ๋อๆ ก็แต่ละตัวละคร บวกกับความเกรียน โดยเฉพาะตัวที่คนน่าจะถูกใจมากสุดคงเป็น เจ้า เบบี้กรูท ที่ทำเราขำก๊ากไปกับความน่ารัก และไร้เดียงสา

ฉากแอคชั่น ก็ทำได้ดีไม่แพ้ หนังฮีโร่เรื่องอื่นๆของค่าย พูดเลยว่าฉากสู้เรื่องนี้เท่มากๆ และโคตรเว่อวัง 

ตัวละครเกลี่ยบทได้ดีในบทของตัวละครหลัก แต่สำหรับบางตัวละคร อาจดูเบาไปหน่อย 

"คำว่า ครอบครัว อาจไม่ได้หมายถึงเพียงสายเลือดเดียวกันเท่านั้น แต่บางครั้งมันยังอาจหมายถึงคนที่อยู่เคียงข้างกันยามทุกข์และสุข Family is Unconditional Love"

แต่จุดอ่อนเดิมๆ สำหรับเรายังมีอยู่ คือ ตัวร้าย มันโหดได้แค่นี้เหรออออออ? น่าจะสู้ได้พีคมากกว่านี้ ดูสเกลพลังเล็กกว่าภาคแรกอีก ทั้งๆที่ โคตะระใหญ่ ยังคงเป็นความสนุกปนบู๊ แบบบันเทิง เอาฮาเข้าว่า

ไม่ว่ายังไงจุดอ่อนทั้งหมด ก็ดูจะมองข้ามไปได้หมด และอภัยให้ได้ เพราะภาพรวมออกมาดี และถูกกลบด้วยจุดเด่นด้านอื่นๆที่กล่าวมา ยกนิ้วให้กับซีจีจอมขโมยซีนอย่าง เบบี้กรูท เลย ทำเอาคนดูเพลินกับความน่ารักยัน End Credit (เรื่องนี้มี End credit 5 ตัว อย่าลืมนั่งดูให้ครบนะ เกี่ยวกับเนื้อเรื่องภาคต่อไปแค่ ฉากเดียว 555+)

ส่วน Easter Egg ในเรื่องนี้โคตรเยอะอ่ะ แถมบทของป๋า Stan Lee (ตัวประกอบรับเชิญในทุกเรื่องของค่าย) สำหรับเรื่องนี้ เรียกได้ว่าไม่ได้มาเล่นๆ เลยนะ เรียกได้ว่าดีสุดตั้งแต่มีมา

คะแนน >>>>>> 8.5/10

บอกเลยนะ คะแนนนี่ให้ตามความชอบ ไม่ได้อวยเลยสักนิด เป็นหนังที่ดูเอาสนุกฮาคลายเครียด ใครเส้นลึก อย่างน้อยก็น่าจะชอบเพลงประกอบในเรื่อง และความกล้าเล่นของหนังเรื่องนี้

เอาเป็นว่าถ้าถามว่าคุ้มป่ะล่ะะะะะ

เราว่าโคตรคุ้มอ่ะ เชียร์ให้ทุกคนไปดูหนังฮีโร่ ไร้สาระที่มีสาระนี้อะ 

อย่าลืมไปพิสูจน์ความเกรียนได้แล้ววันนี้ ทุกโรงภาพยนตร์