รีวิว (ไม่สปอยล์) : The Shack (หนังที่ดีต่อใจ)


หนังใหม่สัปดาห์นี้ อาจเป็นหนังเฉพาะกลุ่มเสียหน่อย

เดี๋ยวจะสรุปให้ฟังสั้นๆ แล้วลองคิดดูและกันว่าอยากไปดูป่ะล่ะะะะะะ?




"Forgiveness is not about Forgetting. It is about letting go of another person's throat"

              เดี๋ยวจะสรุปสั้นๆ ให้ฟังก่อนและกัน เผื่อใครที่ขี้เกียจอ่านยาวๆ


                    หนังเรื่องนี้น่าจะเหมาะกับคนที่ค่อนข้างจะชอบแนวปรัชญา และฝึกเข้าใจตนเอง และโลกรอบตัวหน่อยๆ ยิ่งนับถือศาสนาคริสต์ ยิ่งดี 

                    โดยเฉพาะคนที่กำลังสงสัยในพระเจ้า หรือรู้สึกชีวิตมันแย่จัง 

                    ถ่ายทอดผ่านบทหนังที่แยบยล และคมคายแทบจะทุกฉาก ทุกถ้อยคำ ประกอบกับการแสดงขั้นเทพของนักแสดงระดับออสการ์ และงานภาพที่สวยโคตรๆ ทำให้เมื่อได้ปล่อยอารมณ์ และสมองให้ไหลไปตามหนัง ทำให้น้ำตาแอดถึงขั้นหยดลงมาได้เลยทีเดียว

                    ข้อเสียใหญ่ของเรื่องนี้คือ หนังอาจจะสร้างความงุนงง ถ้าคนดูตีความไม่ทัน และการที่หนังดูพยายามจะยัดเยียด ปรัชญาในพระคัมภีร์มากจนเกินไป ทำให้คนต้องพยายามตีกรอบความคิด เพื่อจูนเข้ากับหนัง ยิ่งคนไม่อินในศาสนาคริสต์ด้วยแล้ว อาจรู้สึกไม่ชอบเอาได้ดื้อๆ

                    แต่สำหรับ คนที่ชอบดูดราม่าฟีลกู๊ด หนังให้แง่คิดดีๆ (จากหนังสือขายดีระดับโลก) หรือคนที่ชอบมาเสพงานภาพสวยๆ ล้ำๆ (จากทีมงานของ Life of Pi) หรือดูการแสดงระดับเทพ หนังเรื่องนี้ยังตอบโจทย์ที่จะเป็น หนังที่ควรค่าแก่การรับชม 

                    คนที่ชอบแบบ Life of Pi จะชอบเรื่องนี้ สำหรับเรื่องนี้เราให้ 7/10




           ต่อจากนี้คือ การรีวิว ที่จริงจังมากขึ้น

               The Shack หนังดัดแปลงมาจากหนังสือขายดี ชื่อเดียวกัน ซึ่งเป็นผลงานการเขียนที่ขายดี อันดับ 1 จากการจัดอันดัีบของ New York Times ที่ขายดีไปกว่า 22 ล้านเล่มทั่วโลก

               หนังสือเรื่องนี้ดีขนาดไหน ก็ดีขนาดที่ผู้สร้าง กิล เนทเตอร์ ผู้รังสรรค์ Life of Pi ต้องรีบคว้าเอามาทำเป็นภาพยนตร์

              จากหนังสือเล่มเล็กๆ ที่เจ้าของหนังสืออย่าง คุณ วิลเลี่ยม พี. ยัง ตั้งใจที่จะเขียนเกี่ยวกับพระเจ้าเพื่อเป็นของขวัญให้ลูกๆ ในวันคริสมาสต์ เพราะไม่มีเงินที่จะซื้อของขวัญให้ลูก

              เขียนไปเขียนมา สุดท้ายตีพิมพ์หนังสือด้วยตนเอง จำหน่ายเอง เพราะไม่มีสำนักพิมพ์ไหนรับ แต่กลับกลายเป็นหนังสือที่คนพูดกันปากต่อปาก จนขายดีไปทั่วโลก

              โดยนิยามของกระท่อมในเรื่อง ก็เป็นตัวแทนของสถานที่ ที่กักเก็บความเจ็บปวด และเรื่องเลวร้ายทั้งหมดในชีวิตของเราไว้ 

เอ๊ะ หมายความว่าไง?




             หนังเล่าเรื่องเกี่ยวกับ แม็ค ฟิลลิปส์ (แซม เวิร์ธธิงตัน) ชายที่ถูกทรมานจากพ่อ ที่มีนิสัยชอบซ้อมภรรยา และลูกชายอย่างเขาอยู่เสมอ จนเขาเกลียดชังพ่อของเขา ประสบการณ์ในวัยเด็กทำให้เขาเลือกที่ถอยห่างจากพระเจ้า ทั้งๆที่เดิม ครอบครัวเขาเป็นชาวไอริช ซึ่งเคร่งศาสนามาก

             เมื่อโตขึ้นเขามีภรรยาที่แสนสวย ผู้ซึ่งศรัทธาในพระเจ้ามาก เธอมักสอนลูกๆ ทั้ง 3คน ให้เรียกแทนพระเจ้าว่า ปาป้า อยู่เสมอ เขาเข้ากันได้ดีกับลูกๆ ทั้ง 3 คน โดยเฉพาะรอยยิ้มอันสดใส และคำถามที่ไร้เดียงสา ของ มิสซี่ ลูกสาวตัวน้อยของเขา 

            และแล้ว หนังก็พาคนดูไปฆ่ากลางโรง โดยเลือกที่จะให้เด็กน้อยคนนี้ ถูกฆาตกรโรคจิตลักพาตัวไปฆ่าในกระท่อมแห่งหนึ่ง ระหว่างที่พวกเขาออกไปตั้งแคมป์กัน หัวใจคนเป็นพ่อแตกสลาย 

            แม้เวลาผ่านไป ความโศกเศร้า ก็ยังคงวนเวียนอยู่ จนทำลายความสัมพันธ์กับคนรอบข้างไปทีละน้อยๆ และวันหนึ่ง ก็มีจดหมายปริศนา จาก ปาป้า ส่งมาบอกเขาให้กลับไปกระท่อมแห่งนั้น 

           เขาคิดว่ามันคือการยั่วยุของฆาตกร แต่เมื่อไปถึงกลับได้พบบ้านอันสวยงามแทน ที่นั่นเขาได้พบกับคน 3 คน ได้แก่ หญิงผิวสีที่ให้ความรู้สึกแบบคุณแม่ใจดี หรือ ปาป้า (ออคเตเวีย สเปนเซอร์), ลูกชายที่ไม่มีชื่อ หน้าตาอาหรับ (อัฟราฮัม อาวีฟ) และหญิงสาวเอเชียแสนงาม นาม ซารายู (ซูมิเระ) ที่แปลว่า ลมเอื่อยๆ 




            ถ้าใครสนใจในศาสนาคริสต์ ก็น่าจะเดาไม่ยากว่า 3 คนนี้คือตัวแทนทั้ง 3 หรือ ตรีเอกานุภาพ 
พระบิดา พระบุตร และพระจิต นั่นเอง


                หลังจากพบกับ 3 คนนี้ หนังก็พาเราเข้าสู่โหมดปรัชญา ซึ่งค่อนข้างที่จะต้องอาศัยการตีความ และเปิดหัวให้โล่ง ค่อนข้างมาก 

                หนังจะพาให้ตัวละครพระเอก ผ่านเรื่องราวต่างๆ ในเรื่อง เพื่อนำไปสู่การคลายปมในจิตใจพระเอก พร้อมตอบคำถามมากมาย ที่พระเอกค้างคาใจมานาน 

                หนังมีบทสนทนาที่คมคายมากมาย ไม่น่าเบื่อเลย เพราะมีประเด็นไม่ซ้ำในแต่ละช่วง มีการโปรยมุกให้ขำเล็กน้อย พอกรุบกริบ 

               สำหรับแอด ค่อนข้างชอบเรื่องนี้มาก ด้วยความที่เป็นคนชอบหนังแนวปรัชญาชีวิต พอมาเจอกับหนังที่ สวยทั้งภาษาภาพและภาษาพูด แบบนี้ ยิ่งชวนให้น้ำตาปริ่มได้ในหลายฉาก โดยเฉพาะฉากที่พ่อพระเอกของเรา ต้องเถียงกับคนๆหนึ่ง ซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ในเรื่อง ช่างเป็นบทพูดที่วิเศษ



"Trust is the Fruit of a Relationship in which you know you are Loved"


                สุดท้ายแม้หนังอาจดูยัดเยียดข้อมูล และสิ่งที่หนังต้องการจะสื่อให้มากจนเกินไป โดยไม่ให้คนตั้งคำถามอะไรมากมาย เลยทำให้เสน่ห์ของหนังน่าจะลดลงไปมาก

                คะแนนฝั่งนักวิจารณ์ ในเว็บมะเขือเลยเน่ามาก เน่าจริง จนต่ำกว่า 20% 

                แต่เพราะความสวยงาม ของทั้งภาพ และบทพูด ร่วมถึงแง่คิดในเรื่อง เลยทำให้ฝั่งคนดู กว่าหมื่นคน กลับโหวตคะแนนสวน ว่าเป็นหนังดีถึง 84% 

               ซึ่งรอบนี้เราค่อนข้างเห็นด้วย เพราะแม้หนังจะไม่พีคสุดในสายตาคนนอกศาสนาแบบเรา แต่ปรัชญาที่ได้ ภาพ และบทพูดในเรื่อง ก็สร้างความสวยงามได้อย่างมาก เห็นด้วยว่าคราวนี้ฝั่งพวกนักวิจารณ์คิดผิดมากกกกกก

               คะแนน >>>>> 7/10 (สำหรับเรา ค่อนข้างสูงเลยนะ)

             ถ้าถามว่าคุ้มป่ะล่ะะะะ! รู้สึกคุ้มกับทุกบาทที่เสียให้เรื่องนี้ อย่างน้อยก็ได้มุมมองใหม่ๆ กลับมา พร้อมคราบน้ำตา ชมได้วันนี้ทุกโรงภาพยนตร์

             ใครสนใจควรรีบไปดู เพราะคิดว่าอยู่ไม่นาน เพราะอาทิตย์หน้า GOTG เข้า คงเบียดเรื่องนี้ออกจากโรง



ความคิดเห็น