รีวิว (ไม่สปอยล์) –Transformer 5 : The Last Knight (7/10 ตูมตาม วินาศสันตะโร สไตล์ไมเคิล เบย์)
หนังใหม่สัปดาห์นี้ เป็นหนังชุดที่ไม่มีใครไม่รู้จัก
ทำมาแล้วหลายภาค ยาวนานจนมาถึง 5 ภาค
และคาดว่าจะมีต่อไปอีก
เป็นหนังหุ่นยนต์ที่การันตี ในความอลังการและ CG จัดเต็ม
ขณะเดียวกันก็เป็นหนังที่การันตีความง่อยของบท
เช่นกัน
แต่เมื่อรู้อยู่แล้วว่าบทต้องง่อย และเข้าไปดูแบบไม่ได้คาดหวังอะไรกับบท
ก็พบว่า หนังมีความมันส์ จัดเต็ม ได้ไม่น้อย
แม้อาจสนุกลุ้นไม่เท่าภาคเก่า แต่ความอลังการนี่ไม่แพ้กันเลย
น่าดู ป่ะล่ะะะะะะ? 555 ไปดูกันเลยดีกว่า
เป็นอีกหนึ่งเรื่อง
ที่หลายคนรอคอยกับหนังภาคต่อที่สร้างกระแสและรายได้ถล่มทลายมาทุกภาค จน Michael Bay ไม่ยอมรามือไปง่ายๆ
แม้จะถูกหาว่าบทง่อยขึ้นเรื่อยๆ ออกทะเลไปต่อไหนต่อไหน แต่เมื่อเป็นหนังทำเงิน
มีหรือจะไม่ทำ จนสร้างต่อเป็นภาคที่ห้าแล้วจ้า ในชื่อว่า Transformers 5 : The Last Knight ชื่อไทย ‘ทรานส์ฟอร์เมอร์ส 5 อัศวินรุ่นสุดท้าย’ เรื่องราวที่ไปไกลถึงยุคคิงอาร์เธอร์
ได้ข่าวว่าภาคที่แล้วไดโนเสาร์ นึกว่าจะหมดมุกแล้ว
คงเพราะภาคที่แล้วกวาดไปถึงพันกว่าล้านเหรียญทั่วโลก
ภาคนี้จึงกลับมาพร้อมจัดเต็มหุ่นหน้าใหม่เพียบ อยากได้ฉากอะไร อยากได้ฉากแบบไหน
แค่คนดูเรียกร้องมา พี่เบย์แกจัดมาให้หมดในภาคนี้
นับไปนับมาเราก็อยู่กับหนัง Transformers
มา 10 ปีพอดีในปีนี้ ตั้งแต่ปี 2007 ที่พ่อมดฮอลลีวูดอย่าง สตีเวน สปีลเบิร์ก
ยังชักใยความมันส์อยู่หลังไมเคิล เบย์
ซึ่งทำให้หนังภาคแรกมีส่วนผสมที่ลงตัวทั้งไซไฟ จินตนาการแบบหนังสปีลเบิร์ก
โดยมีฉากหุ่นยักษ์ไอรอนไฮด์ขึ้นจากสระน้ำแล้วเดินผ่านเด็กสาวตัวน้อยดูอบอุ่นหัวใจผสมผสานกับความยียวนของเหล่าตัวละครสมทบและฉากแอ็คชั่นตื่นตาตื่นใจสไตล์ไมเคิล
เบย์ จนทำให้ Transformers (2007) กลายเป็นหนังไซไฟที่ถูกใจคอหนังทันทีที่มันออกฉาย
คะแนนรีวิวภาคแรก สูงที่สุดกว่าทุกภาคที่ทำมา แต่ต่อมาด้วยจำนวนภาคที่มากขึ้นช่างดูสวนทางกับความสมเหตุสมผลของบทหนังก็ทำให้มันกลายเป็นงานขายเอฟเฟกต์กลวงๆ
ที่ต้องมีฉากโชว์แปลงร่าง หรือ ระเบิดตูมตามทุก 5 นาทีจนมนต์ขลังของหนังที่เคยมี
ค่อยๆ หายไปตามจำนวนภาคที่เพิ่มขึ้น
เรื่องย่อ
ยังคงเล่าเรื่องของผู้ชายคนเดิม
เคด เยเกอร์ (มาร์ค วอห์ลเบิร์ก) ที่กบดานและหลบหนีการถูกตามล่าตัวโดยกองกำลังกลุ่มใหม่ในนาม TRF ไม่ใช่แค่นั้น เพราะเขาก็ต้องปกป้องเหล่าพันธมิตรออโตบอตด้วยเช่นกัน ภารกิจของเขาทำให้ได้รู้จักกับสาวน้อยอิซซี่
(Isabela Moner)
ที่มีคู่ซี้เป็นเจ้าหุ่นตัวเปี๊ยก
แต่เหตุการณ์มันมิใช่แค่นั้น…
เมื่อโลกนี้ยังมีความลับที่กำลังจะถูกเปิดเผย
ว่ามนุษย์โลกนั้นเคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงใหม่ไปกับเหล่าทรานส์ฟอร์เมอร์ส
อัศวินโต๊ะกลมที่เรารู้จักกัน ไม่ว่าจะเป็น คิงอาร์เธอร์ แลนสล็อต หรือแม้แต่พอมดเมอร์ลิน
ต่างก็เคยร่วมประชุมและรบกับเหล่าอัศวินผู้กล้าจากดาวไซเบอร์ทรอนมาแล้วทั้งนั้น
ผู้กุมความลับของเรื่องราวทั้งหมดคือขุนนางอังกฤษผู้หนึ่งที่มีนามว่า
เซอร์ เอ็ดมัน เบอร์ตัน (เซอร์ แอนโธนี
ฮ็อปกินส์) และวิเวียน เวมบลีย์ ศาสตราจารย์จากอ็อกซ์ฟอร์ด (ลอร่า แฮดด็อก)
ที่จะพาเราไปพบกับเบื้องหลังบางอย่างที่สงสัยกันมานาน
ทำไมพวกมันจึงสนใจใน
“โลก” ยิ่งนัก
นอกจากนี้
เหล่าออโตบอตยังต้องเจออีกปัญหา เมื่อออปติมัส ไพรม์ ผู้นำของตนกลับเปลี่ยนข้างกลับมาทำร้ายพวกเดียวเสียเอง
จึงเป็นอีกปัญหาที่ต้องปวดหัวกันในภาคนี้
รีวิว
เรื่องนี้ขอไม่แบ่ง
ข้อดี ข้อเสีย ของหนังและกัน เพราะมันแบ่งไม่ได้จริงๆ
หนังมันแทบไม่มีอะไรให้แบ่งเป็น ดี เสีย ขนาดนั้น จะขอพูดรวมๆ และกัน
สำหรับภาคล่าสุด Transformers The Last Knight (2017) นี้ ถือเป็นงานฉลองครบรอบ
10 ปีของหนังชุดทรานส์ฟอร์เมอร์สและงานอำลาการกำกับหนังชุดนี้ของไมเคิล
เบย์
คงหนีไม่พ้นจุดน่าสนใจในการส่งไม้ต่อให้สตูดิโอนำไปขยายจักรวาลให้หนังชุดนี้ยังมีลมหายใจต่อไป
โดยบทหนังเปิดประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นมาสมัยอัศวินโต๊ะกลมกับการเดินทางมาครั้งแรกๆ
ของเหล่าจักรกลต่างดาวที่เข้ามามีบทบาทในหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
แต่หนังกลับนำเสนอเรื่องราวตรงนี้ในช่วงต้นได้ค่อนข้างน่าเบื่อ ราวกับมีเอาไว้
เพื่อใส่ฉากระเบิดและมุกฝืดๆ หนำซ้ำมันกลับติดตามมาด้วยมหกรรมจับแพะชนแกะทั้งเปิดเรื่องมนุษย์ไม่ไว้ใจหุ่นยนต์แบบไม่มีที่มาที่ไป
เอาจริงๆก็ตั้งแต่ภาคทีแล้ว แล้วล่ะที่อยู่ดีๆ มนุษย์ก็เกลียด หรือการที่เปิดตัวเด็กสาวเร่ร่อนแบบแทบจะไม่ได้มีผลกับเรื่องราว
และหนังก็ใช้เวลาตลอดองก์หนึ่งตัดสลับเรื่องราวระหว่าง
ความสัมพันธ์แบบพ่อลูกบุญธรรมระหว่างเคดและอิซาเบลลาเด็กสาวเร่ร่อน – การตามหาความจริงเรื่องวัตถุประหลาดบนโลกของเซอร์เอ็ดมอนด์
– การค้นพบภัยพิบัติของนาซ่าและการถูกครอบงำของออพติมัสไพร์มแบบกระจัดกระจายจนน่าสับสนและกว่าเรื่องราวจะขมวดปมเข้าหากันก็เลยไปจนช่วงท้ายองก์สอง
ถามว่าดีมั้ย ก็ไม่รู้สึกติดขัดอะไร แต่แบบ จำเป็นต้องเล่านานขนาดนี้ไหม แค่นั้น
แถมบางปมปัญหาหนังก็ทิ้งมันไปดื้ออย่างไม่แคร์เพื่อยัดเยียดฉากแอ็คชั่นโครมครามต่อเรื่อยๆ
ทั้งหมดทั้งมวลยิ่งตอกย้ำแผลเป็นด้านบทหนังที่น่าจะผ่านการเสริมเติมต่อเพื่อมุ่งสู่การขยายจักรวาลจนทิ้งตรรกะและความสมเหตุสมผลของเรื่องราว
จนได้หนังที่เป็นส่วนผสม ปนเป ของทั้งคิงอาเธอร์ สตาร์วอร์ สตาร์เทรค แต่ล้มเหลวในการเป็นทรานส์ฟอร์เมอร์อย่างที่ควรจะเป็นไปอย่างน่าเสียดาย
เรียกได้ว่าเป็นบทหนัง ที่รู้สึก แถออกทะเล
แถสะท้านจักรวาลก็ว่าได้ เบย์อย่างหยิบอะไรออกมาใส่ ก็หยิบมาแบบ ดื้อๆ ไม่สนใจใคร
ตูอยากยำ ตูก็จะยำ ตัวละครโผล่มามากมาย ทั้งเก่าและใหม่ เยอะจนสับสนอลหม่าน จนตัวละครหุ่นยนต์ที่ควรมีเสน่ห์
หลายตัว กลายเป็นเพียงหุ่นยนต์ที่ควรมีไว้ ประดับลายเซ็น ทรานส์ฟอร์เมอร์ เท่านั้น
ถือว่าหนังภาคนี้มีรายละเอียดเยอะมาก
เยอะจนนึกมันออกมาไม่หมด มันอาจจะดูเป็นข้อดีที่ทำให้ได้ถกเถียง แต่ในขณะเดียวกัน
มันก็อาจกลายเป็นข้อเสียที่ทำให้คนดูเจอกับปัญหาการเก็บข้อมูล ทำให้งงกับเรื่องราวไปได้
ถือว่าการเล่าเรื่องชวนสับสน และสอบตกมาก หนังหยิบจับทุกอย่างมาเดินต่อกันอย่างไม่ค่อยมีตรรกะ
ดูจบแล้วก็มานั่งสงสัยว่า “แบบนั้นก็ได้หรือ” อะไรแบบนี้เป็นต้น
แต่ๆ แต่ช้าก่อน
อย่างน้อยภาคนี้ หนังภาคนี้ก็ได้ตอบคำถามที่คาใจว่าเหตุใดชาวไซเบอร์ทรอนจึงสนใจและมายังโลกไม่หยุดหย่อน
แต่เราก็อาจรู้สึกว่าหนังพยายามจะหาทางไปอย่างถูลู่ถูกังสุดขีด 555
สุดท้ายเหมือนจะมีแต่ข้อเสีย
แต่ถ้า....ใครอยากดูหนังเรื่องนี้ให้สนุก
ไม่ต้องมาจับผิดเรื่องบทนะครับ
เพราะหนัง
มิใช่ว่าจะไม่มีอะไรโดดเด่นเลย ยังคงยอมรับว่า ไมเคิล เบย์
คือคนที่เก่งในการกำกับฉากแอ็คชั่น เขาเลือกมุมมองกล้องให้เข้าความเป็นหนัง 3 มิติบนจอใหญ่ได้ดี
ไม่ว่าจะเป็นฉากต่อสู้กันของหุ่นยนต์ ฉากยิงกันสนั่นจอสไตล์ทหารๆ
อย่างที่เขาทำไว้ใน ’13 Hours’ หรือจะเป็นฉากขับยานบินฉวัดเฉวียนพร้อมยิงใส่กัน
ช่วงท้ายของหนังจัดหนักจัดเต็มชนิดที่คนชอบหนังแอ็คชั่นคงจะได้สะใจกันไปข้างนึง
ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เราคาดหวังว่าจะได้พบในหนังของเขาอยู่แล้ว ตั้งแต่ซื้อตั๋ว อีกทั้งเราชอบ
เบย์ ตรงที่ กำกับฉากแอคชั่นอลหม่าน ที่มี CG ได้แบบดูลื่นไหลดี
ไม่เวียนหัว จิงๆ ในงานด้านเอฟเฟคต์ และการตัดต่อภาพ ของฉากแอคชั่น สเกลอลังการ
ก็ยอมรับว่า เบย์ ทำได้ไม่แพ้ใคร จากหลายเรื่องที่ดู เราให้เบย์ เป็นอันดับต้นๆ
ของวงการเลยนะ
สรุปได้ว่า
หนังอาจจะมีปัญหาบ้างที่ไม่ทำให้ผู้คนอินหรือมีอารมณ์ไปกับเรื่องราว
เพราะเหมือนหนังจะไม่ได้เล่าเรื่องของใคร ไม่ได้ให้เวลาที่ทำให้เรารู้จักกับใครมากพอ
เรามีเพียงความผูกพันพอประมาณกับตัวละครเก่าๆ ที่เราเคยดูมาหลายๆ ภาค แต่มันก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้เราได้อินได้
แม้ช่วงท้ายหนังจะจัดหนัก
จัดเต็ม แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะมีอารมณ์ร่วมไปกับมัน
ส่วนหนึ่งเพราะมันมีปัญหาในการเล่าเรื่อง ส่วนตัวคิดว่าถ้าหนังตัดตัวละครที่ไม่จำเป็นออกไปบ้าง
ตัดบางสถานการณ์ออกไป และจัดเรียงการเล่าเสียใหม่ หนังก็อาจจะดีกว่านี้ก็ได้
ก็ถือได้ว่า หนังมีทุกอย่างที่คุ้นเคยและถูกใจคนดูเหมือนทุกภาค
ทั้งฉากบู๊หุ่นยนต์ซัดกัน สาวเซ็กซี่ เอฟเฟกต์อลังการ งานสร้างและมุมกล้องเท่ๆ
แม้ไมเคิล เบย์ จะล้มเหลวในการควบคุมทิศทางของเรื่อง ยังดีที่มีมุกตลกที่เวิร์คจาก
หุ่นค็อกแมน และสมาคมป้าหัวใจเปลี่ยวญาตินางเอก ที่มาปล่อยมุกให้เรื่องราวยังมีชีวิตชีวาอยู่บ้าง
และนอกจากงานด้านภาพแล้ว
งานด้านเสียงก็ดีไม่แพ้กัน มันเป็นหนังที่ต้องการการรับชมบนจอใหญ่ๆ
ระบบเสียงกระหึ่มอย่าง IMAX มาก
คะแนน >>> 7/10
(คะแนนที่ให้
คือ คะแนนเอฟเฟกต์ล้วนๆ ถ้าให้คะแนนบทเอาไป 2 พอ แต่ก็รู้สึกว่าเป็นหนังดูสนุกได้
แบบไม่ต้องคิดอะไรมากจริงๆ เอาสมองกลวงๆเข้าไปรับสาร ดูแบบไม่คิดเยอะเอาจริงๆ ถ้ารู้สไตล์เบย์มาก่อน
รู้ว่าบทง่อยแน่ๆ คุณจะดูหนังเรื่องนี้สนุกนะ)
เอาเป็นว่า เราที่เป็นคนชอบดูหนัง
ดูได้หมด เรื่องนี้สำหรับเรา เราเข้าไปดูแบบไม่สนใจบทอ่ะ เข้าไปรับงานภาพ
และความวินาศสันตะโร ของหนัง สำหรับเรา มันก็บันเทิงอยู่นะ ไม่เลวร้าย
แต่ถ้าใครไม่ใช่แนวนี้ หนังต้องเนื้อเรื่องดี ไม่ได้ชอบหนังบู๊อย่างเดียว
ก็ไม่แนะนำให้เสียเงินไปดูนะ หนังมันค่อนข้างยาว ตั้ง 2 ชม. 28 นาที กลัวจะเสียเวลาชีวิต
หรือถ้าดูแบบลดราคา ก็น่าจะคุ้มดี
แต่เชื่อเถอะว่า
ยังไงหนังเรื่องนี้ก็ยังทำเงิน เสียตังไปดู ฉากอลังการ ก็คุ้มนะเราว่า 555
หนังมีฉากแถมที่แทรกอยู่
Mid Credit บอกเป็นนัยถึงภาคต่อไปที่อาจมีตามมา ก็อยากจะรู้ว่าจะแถไปไหนอีก
55 ตลกที่ไอนี่ก็ยังจะรอ
ชมได้แล้ววันนี้ ทุกโรงภาพยนตร์ ดู Trailer ได้ด้านล่าง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น