รีวิว (ไม่สปอยล์) – Dunkirk (8.5/10 หนังดีมาก ไร้ที่ติ แต่ไม่ค่อยประทับใจ และอาจไม่ถูกจริต)
หลังจากเสพความสนุกกับจินตนาการสุดล้ำ
ใน Valerian
ไป
ก็ถึงคราว Dunkirk
หนังประวัติศาสตร์ อันไร้ที่ติ
ของพระเจ้า โนแลน ของใครหลายๆคน
ใครที่ไปฟังรีวิว แบบ 10/10 มา
อยากบอกว่าช้าก่อน...
เพราะรีวิวที่ขี้อวยแบบนั้น ผมขอให้ผ่านไปได้เลย
รีวิวนี้ จะเป็นความเรียลล้วนๆ ไร้ความเป็นติ่งโนแลน
ในเรื่องของภาพยนตร์ เรื่องนี้คือ ขึ้นแท่นหนังรางวัล
แต่ในภาพรวมของการความเพลิดเพลินและน่าประทับใจของตัวหนัง
ยังสอบไม่ผ่าน
แต่ถามว่า น่าไป ดู
ป่ะล่ะะะะะะ?
555 ไปดูกันเลยดีกว่า
จำต้องเอาชื่อ คริสโตเฟอร์ โนแลน ขึ้นมาก่อนสิ่งอื่นใดครับ (ต้องอวยเขานิดนึง) เพราะเทียบหน้าหนังกันกับหนังดราม่าสงครามที่มีฉากชายหาด เป็นโลเกชั่นยังไงก็ต้องให้ Saving Private Ryan (1998) ของสปีลเบิร์กมาเป็นอันดับหนึ่ง
ถ้าจะเอาว่าดาราใหญ่มาเล่นดังสุดก็มีแค่ ทอม
ฮาร์ดี้ และ เคนเน็ธ บรานาจ์ กับเจ้าของรางวัลออสการ์สมทบชายอย่าง มาร์ก ไรแลนส์ เท่านั้นเอง แถมที่เหลือซึ่งกุมพื้นที่ส่วนใหญ่ในหนังก็เป็นเพียงดาราวัยรุ่นหน้าใหม่เสียแทบทั้งนั้นด้วย อาจพอจะขายการเล่นหนังใหญ่ครั้งแรกของนักร้องไอดอลระดับโลกจากวงวันไดเร็กชั่น อย่าง แฮร์รี่ สไตล์ส
แต่เอาจริง ๆ พูดกันตามตรงหนังเรื่องนี้ส่วนที่น่าสนใจมากที่สุดคือ เป็นหนังของโนแลน ผู้สร้างปรากฏการณ์ทางภาพยนตร์แบบสะเทือนไปทั้งโลกได้หลายต่อหลายครั้งนี่ล่ะครับ
ก่อนรีวิวเรื่องนี้ จะขออธิบายเรท
การให้คะแนนของทางเพจเราก่อนและกัน ใครไม่อยากอ่าน โปรดเลื่อนไป 2 ย่อหน้า
โดยคะแนนของหนังที่ให้ จะไล่ไปตั้งแต่ 6 จนถึง 10 ต่ำกว่า 6 เลิกคุย ไม่อยากรีวิว
6-6.5 คือหนังที่พอจะมีอะไรที่ดีอยู่บ้าง แต่โดยรวมอาจไม่สนุก
7-7.5 คือหนังที่โดยรวมดูสนุก แต่ด้านเนื้อเรื่องอาจไม่ต้องหวังมาก
8 คือหนังสนุก
ซึ่งคำว่าสนุก ไม่ใช่เบิกบาน แต่ในบริบทของหนังคือน่าติดตาม
มีอะไรที่ให้ลุ้น ให้ดู
กรณีที่เนื้อเรื่องไม่ดี แต่อาจมีเรื่องอื่น เช่นงานภาพที่ดี
มาชดเชย
8.5 คือการปรับเพิ่มจากเรท
8 มาอีกนิด เพราะเนื้อเรื่องมีความตื่นเต้น แปลกใหม่
คุมโทนความสนุกได้คลอดเรื่อง
หรือเป็นหนังที่ Film
Function ครบ
ไร้ที่ติ
แต่อาจมีเรื่องไม่โดนใจ หรือไม่เพลิดเพลิน
9 คือหนังโคตรสนุก นอกจาก Film function ครบถ้วน
ยังมีฉากที่ให้ประทับใจ
และตราตรึง มีสิ่งใหม่ๆ ซึ่งไม่เคยเห็น นักแสดงเล่นดีโคตร
หนังแทบจะไม่มีข้อติเลย
(อาทิ Saving Private Ryan,
Forrest Gump)
9.5 คือหนังที่มีคุณงามความดีในแทบจะทุกด้านของความเป็นหนัง
ทั้งด้านนักแสดง
การเล่าเรื่อง อารมณ์ในหนัง การตีความ การให้คนดูคิดต่อ
ความสนุกของหนังตลอด
เรื่อง และความแปลกใหม่ที่ไม่เคยมีคนทำมาก่อน
(อาทิ
Lord
of the rings Trilogy)
10 คะแนนของสงวนให้หนังที่สุดโคตรจริงๆ
แบบไม่มีข้อเสีย และยังเป็นหนังดีที่ทำเงิน
ได้ และหนังที่ต้องกล่าวถึงไปอีกนาน
(อาทิ The Shawshank
Redemption, Dark night)
และหนังเรื่องนี้ Dunkirk อยู่ตรงไหน
ทำไมถึงให้ 8.5/10 เพราะอะไร
งั้นมาดูคำอธิบายกัน 555 รู้สึกเรื่องนี้ต้องเขียนแบบละเอียดอ่อน กลัวโดนติ่งโนแลน
ตามมาตบ
รีวิว
หนัง Dunkirk
พาเราไปอยู่ในเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่
2 ซึ่งโนแลนสามารถถ่ายทอดเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ได้อย่างยอดเยี่ยม
ฉากดูสมจริง งดงามตระการตา ไม่ว่าจะเป็นฉากรบบนฟ้า หรือบนผืนน้ำ อยากบอกว่าโนแลนได้นำภาพยนตร์
ก้าวข้ามหนังประวัติศาสตร์สงครามมาได้อีกระดับ ผ่านการถ่ายทอดประวัติศาสตร์
ที่เป็นประวัติศาสตร์จริง ๆ เพราะ ทั้งเรื่อง บทพูดถือว่าน้อย น้อยมาก ๆ ครับ
ส่วนมากหนังจะนิ่ง ๆ ใช้ส่วนอื่นเล่าเรื่องแทน
โนแลนไม่จำเป็นต้องทำให้หนังมันสนุก
เพื่อ 'บิดเบือน' ประวัติศาสตร์ แต่เพียงแค่ เล่าไปแบบที่รู้มา ว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร
หนังใส่มาเพียงเท่านี้จริง ๆ ขนาดตัวละครหลัก ๆ ก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่า
เขาเป็นตัวเอก เป็นตัวละครหลัก แต่ก็คิดว่า เหมือนคนในเรื่องราวหนึ่ง
ในประวัติศาสตร์ (ที่จะมีหรือไม่มีก็ได้) เป็นแค่ 'ตัวแทน' ของเรื่องราวเท่านั้น
ประกอบกับการที่หนังเล่าเรื่องได้อึดอัดมาก
ๆ มันยิ่งทำให้การดูหนังเรื่องนี้มันโคตรจะอึดอัดเข้าไปใหญ่เลย การลำดับภาพ
การผสมเสียงมันชวนกดดันแบบบอกไม่ถูก โดยเฉพาะอารมณ์หนังมันจะถูก Build ไปแบบสุด ๆ จริง ๆ
หนังโหมกระหน่ำอารมณ์ ความรู้สึกได้ดีมาก ๆ ทั้งๆที่ไม่รู้สึกผูกพันกับตัวละคร
ด้วยสไตล์ของโนแลนที่มักจะมีการเล่าเรื่องที่ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว สำหรับเรื่องนี้ก็เช่นกัน หนังเล่าเหตุการณ์ใน 3 ช่วงเวลาทับซ้อนกันได้อย่างแนบเนียนและชวนงงจริง ๆ แต่ก็งงน้อยกว่าหนังเรื่องเก่าๆของเขา
บอกเลยว่าถ้าใครไม่ตั้งใจดูนี่มีโอกาสที่จะดูไม่รู้เรื่องและงงตลอดเรื่องไปเลยก็ได้ เพราะหนังใช้การตัดสลับ ตัวช่วยเล่าเรื่องอย่างบทพูดก็มีน้อยมาก ส่วนนี้ถ้าใครที่ชอบดูหนังที่ต้องคิดตามเยอะ ๆ หนังที่ไม่ได้เล่าทุกอย่าง อาจจะชอบและโดนใจมาก ๆ แต่สำหรับใครที่ไม่ชอบดูแบบนี้อาจจะเบื่อไปเลยก็ได้ เพราะในอีกมุมหนึ่งหนังมันก็ชวนง่วงอยู่เอาการ
ด้วยสไตล์ของโนแลนที่มักจะมีการเล่าเรื่องที่ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว สำหรับเรื่องนี้ก็เช่นกัน หนังเล่าเหตุการณ์ใน 3 ช่วงเวลาทับซ้อนกันได้อย่างแนบเนียนและชวนงงจริง ๆ แต่ก็งงน้อยกว่าหนังเรื่องเก่าๆของเขา
บอกเลยว่าถ้าใครไม่ตั้งใจดูนี่มีโอกาสที่จะดูไม่รู้เรื่องและงงตลอดเรื่องไปเลยก็ได้ เพราะหนังใช้การตัดสลับ ตัวช่วยเล่าเรื่องอย่างบทพูดก็มีน้อยมาก ส่วนนี้ถ้าใครที่ชอบดูหนังที่ต้องคิดตามเยอะ ๆ หนังที่ไม่ได้เล่าทุกอย่าง อาจจะชอบและโดนใจมาก ๆ แต่สำหรับใครที่ไม่ชอบดูแบบนี้อาจจะเบื่อไปเลยก็ได้ เพราะในอีกมุมหนึ่งหนังมันก็ชวนง่วงอยู่เอาการ
แต่วิสัยทัศน์อันไม่ธรรมดาในการเล่าเรื่องที่ไม่ต้องใช้คำพูดมากมาย
เพียงภาพและสถานการณ์ก็มากพอในการบีบคั้นหัวใจเราให้รู้สึกอินในทุกช่วงเวลาของตัวละคร
จนนี่อาจเป็นหนึ่งในการทดลองสำคัญทางภาพยนตร์ของโนแลน ที่เทียบชั้นการไร้ดนตรีใน No Country for Old Man หนังยอดเยี่ยม รางวัลออสการ์ ของพี่น้องโคเอน เลยทีเดียว
น่าเสียดายที่ plot เรื่องดูไม่มีอะไรเท่าไหร่
อาจจะเป็นเพราะโนแลนต้องการความสมจริง
และหนังเรื่องนี้มีส่วนที่สร้างจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์
เลยอาจจะทำให้ใส่เนื้อเรื่องที่หวือหวาไม่ได้มากแบบหนังไซไฟเรื่องอื่นๆของเขา
อย่าง The Prestige, Inception หรือ Interstellar
เลยทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยสนุกกับหนังเท่าที่ควร
และรู้สึกว่าเนื้อเรื่องดูธรรมดาๆและเนือยๆไปหน่อย
และแม้ดนตรีประกอบ ของ Hans Zimmer จะดูทรงพลัง แต่ไม่ชอบที่ดู built
จนเวอร์ไปนิด
แต่อย่าเข้าใจผิดว่าหนังไม่ดี ผมยังการันตีได้เต็มปากว่า
เป็นหนังที่ดีมาก แม้จะย่อยยาก แต่ถ้าย่อยได้ จะได้ข้อคิด/ข้อคิดต่าง ๆ มากมาย
ยอมรับยิ่งว่าฝีมือของโนแลนยังดีเหมือนเดิมและหนังเรื่องนี้ก็เป็นหนังที่อยู่ในเกณฑ์ยอดเยี่ยมอย่างไร้ข้อสงสัย
เพียงแต่เรื่องความสนุกอาจจะแล้วแต่จริตของแต่ละคน
ถ้าถามว่าผมชอบเรื่องนี้ไหม
ผมขอตอบว่าโดยรวมๆก็ชอบระดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่หนังโนแลนที่จะเข้ามาเป็น Top 3 ในใจ เห็นมีคนเอาไปเทียบกับ
Saving Private Ryan ด้วย ซึ่งผมก็เคยได้ดูเรื่องนี้และจำความรู้สึกในตอนดูได้ว่าผม
เพลิดเพลินกับเรื่อง Saving Private Ryan มากกว่าครับในแง่ของเนื้อเรื่อง
โดยรวมแล้วก็ไม่รู้จะติอะไรนะ
แต่แค่ไม่รู้สึกว้าวอะไรมากมาย มากกว่า หนังก็ดี เนื้อเรื่องดูสมจริง เพลงประกอบดี
ภาพสวยมาก สวยเกินจริง วิธีการเล่าเรื่องดี เข้าใจเอาความเงียบมาใช้ในหนังสงคราม
ก้าวผ่านหนังสงครามทั่วไป ที่ทำให้เพียงได้ยินเสียงปืน และเครื่องบิน ก็พาเอาลุ้น
และกลัวได้ แต่ไม่แปลกถ้าเทียบกับเรื่องก่อนหน้านี้ของแกเอง ดูแล้วกดดัน อึดอัดมาก
ยังไงก็ลองพิจารณาดู
ถ้าชอบหนังแนวที่ต้องคิดตามเยอะๆ บวกกับถ้าชอบสไตล์การเล่าเรื่องของโนแลนก็ไปดู
แต่ถ้าคิดว่า ไม่ใช่แนว ดูแล้วคงง่วง คงเบื่อ ก็ลองตัดสินใจดูเองและกันครับ ในความคิดผมน่าจะโดนใจนักวิจารณ์
มากกว่าวงกว้าง
ดังนั้นภาพยนตร์เรื่อง Dunkirk จึงไม่ใช่หนังที่สนุก
และเป็นหนังที่ย่อยยาก แต่ถ้าดูภาพยนตร์ในเชิงลึก
และดูเพื่อสิ่งอื่นที่มากกว่าความเพลิดเพลิน ก็ถือว่า 'คุ้ม' มาก ๆ ครับ และนักแสดงเรื่องนี้หน้าดี อาจโดนใจสาวๆ
ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา
จึงขอให้คะแนน >>> 8.5/10
(คะแนนองค์รวมของหนังเอาไป
9.5/10 แต่ด้านความเพลิดเพลินเอา 7/10)
มันยากที่จะเรียกว่าหนังสงครามแบบที่เราคุ้นเคยครับ
เพราะตัวละครส่วนใหญ่ไม่ได้มุ่งหมายห้ำหั่นศัตรูแบบตายเป็นตาย
หากแต่แสดงภาวะของการดิ้นรนมีชีวิตอยู่ เหมาะกับคำโปรยของหนังที่ว่า
“การรอดชีวิตกลับไปได้ถือเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่”
พิสูจน์ด้วยตัวเอง ได้แล้ววันนี้ ทุกโรงภาพยนตร์
ดูตัวอย่างหนังและเกร็ดหนังได้ด้านล่าง
ปูความรู้ก่อนไปดูหนัง
- ยุทธการที่ดันเคิร์กเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ครั้งสำคัญของสงครามโลกครั้งที่สอง
ซึ่งเกิดขึ้นเพียงเวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์เท่านั้น (ระหว่างวันที่ 26 พฤษภาคม
จนถึงวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ.1940)
- อย่างที่เรารู้กันว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
จะแบ่งออกเป็นสงครามระหว่างกลุ่มอักษะและฝ่ายสัมพันธมิตร
- ซึ่งในช่วงนั้นกองกำลังทหารฝ่ายสัมพันธมิตรถูกล้อมไว้โดยพวกอักษะ
มีทหารกว่าสี่แสนนายที่ถูกล้อมไว้ที่หาดดันเคิร์ก เมืองคาเลส์ ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งทหารฝ่ายอักษะก็ทำศึกบีบเข้ามาเรื่อยๆ
จนกองกำลังสัมพันธมิตรจะต้านได้อีกไม่นาน วิธีที่จะเอาชีวิตรอดออกมาได้ก็คือการอพยพทหารโดยทางเรือเท่านั้น
- ยุทธการที่ดันเคิร์ก จึงเกิดขึ้นโดยมีเป้าหมายคือการระดมกองเรือให้ได้มากที่สุดเพื่อขนถ่ายทหารกลับมาให้ได้มากที่สุด
จนท้ายที่สุดก็สามารถอพยพทหารสัมพันธมิตรกว่า 330,000
ผ่านทางทะเลกลับมาได้
การเลือกนักแสดง
- โนแลนได้ให้สัมภาษณ์ว่า
ปกติหนังฮอลลีวูดมักจะคัดนักแสดงอายุ 28-30
ปี ให้มารับบทที่อายุน้อยกว่าความเป็นจริง
- แต่สำหรับเขา
เขาอยากคัดตัวนักแสดงที่มีอายุเหมาะสมกับเรื่องราว
อยากได้เด็กที่ผ่านเรื่องราวแบบที่คนทั่วไปจะเจอในช่วงอายุนั้นๆ
- ซึ่งนักแสดงทุกคนก็เล่นออกมาได้เป็นธรรมชาติ และดีมากๆ ถึงบทจะไม่ได้เอื้อให้มีใครโดดเด่นออกมาเป็นพิเศษ แต่ทุกคนเป็นชิ้นส่วนที่เติมให้คนดูรู้สึกร่วมไปกับหนัง
เกร็ดหนัง
- นี่คือภาพยนตร์ขนาดยาวลำดับที่
10 ของ คริสโตเฟอร์
โนแลน ผู้กำกับที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในยุคนี้
- นี่คือครั้งแรกที่โนแลนใช้เหตุการณ์จริงมาทำหนัง
- นี่คือหนังเรื่องที่
3 ที่โนแลนเขียนบทเองคนเดียว (ก่อนนั้นคือ Following และ Inception ซึ่งเจ๋งมากทั้งสองเรื่อง)
- นี่คือหนังที่โนแลนบอกว่า
เป็นหนังทดลองมากที่สุดในชีวิตเขาแล้ว (ขนาด Memento กับ Inception ก็ล้ำเหลือแล้วนะ)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น