รีวิว (ไม่สปอยล์) –Valerian and City of a Thousand Planets (8/10 สนุกเกินคาด จินตนาการสุดล้ำ ภาพสวยเกินบรรยาย)


หนังใหม่สัปดาห์นี้ ถ้าต้องเลือกระหว่าง


Dunkirk หรือ Valerian


เอาเป็นว่า ดีทั้ง 2 เรื่อง แต่ถ้าจะให้เลือก


ใครที่ไม่ค่อยอินกับหนังสงคราม กดดัน


แนะนำให้ไปดู Valerian


หนังที่ ผู้กำกับ ลุค เบซอง ตั้งใจทำสุดฤทธิ์


ตั้งแต่จินตนาการของเขา ใน Fifth Element


นี่เป็นอีกเรื่องของเขาที่คิดว่าสุดจริงๆ


 ถามว่า น่าไป ดู ป่ะล่ะะะะะะ



555 ไปดูกันเลยดีกว่า





สนุกกว่าที่คาดหวังไว้มาก ถึงแม้เนื้อเรื่องจะเชยไปตามยุคสมัยของการ์ตูน แต่ก็แอบมีความร่วมสมัยอยู่ ยังมีภาพซีจีโปรดักชั่นขั้นเทพโคตรๆ ดูเพลินตั้งแต่ต้นจนจบด้วยความตื่นตาตื่นใจ


ฉะนั้นถ้าเป็นแฟนหนังอวกาศ หลายคนน่าจะคุ้นกับภาพนิคมอวกาศที่เต็มไปด้วยมนุษย์ต่างดาวเดินกันขวักไขว่ ภาพร้านเหล้าหรือซ่องโจรที่เต็มไปด้วยมนุษย์ต่างดาวพันธุ์วายร้าย รวมถึงหนังแนวตำรวจอวกาศ ถ้าชื่นชอบกับบรรยากาศบนจอแบบนี้ ก็น่าจะถูกอกถูกใจกับวาเลเรียนเป็นพิเศษ


ที่มาก่อนจะมาเป็นเรื่องนี้

หนังดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูนยุคเก่าแก่ที่เขียนมาตั้งแต่ปี 1967 ลากยาวถึง 43 ปี มาจบเอาเมื่อปี 2010 นี่เอง ในฉบับการ์ตูนจะชื่อ Valerian And Laureline ก็เป็นการปฎิบัติการของเอเยนต์คู่หูมือฉกาจที่ทำให้งานให้กับสหพันธ์โลก

ด้วยจินตนาการอันบรรเจิดและสนุกสนานของ ฌอง คล็อด เมเซียร์ ผู้สร้างสรรค์เรื่องราวของวาเลเรียน ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้เป็นแรงบันดาลให้เกิดหนังมหากาพย์อย่างสตาร์วอร์ส และตัวลุค เบสซง เองที่อยากจะดัดเแปลงการ์ตูนเรื่องนี้มาเป็นหนัง แต่ด้วยเทคโนโลยีอันจำกัดเมื่อ 20 ปีก่อน ลุค เลยตัดสินใจดัดแปลงช่วงตอนหนึ่งของวาเลเรียนออกมาเป็น The Fifth Element (1997) แทน




จนกระทั่ง ลุค ได้เห็นงานภาพของชาวเผ่านาวิใน Avatar (2009) ของเจมส์ คาเมรอน ก็เป็นสัญญาณหนึ่งที่บอกว่าเทคโนโลยีทางด้านภาพมาถึงจุดที่ ลุค จะสามารถสร้างภาพของบรรดามนุษย์ต่างดาวหลากสายพันธุ์ตามในการ์ตูนให้ออกมาโลดแล่นได้แล้ว โครงการหนัง Valerian ถึงได้เริ่มอีกครั้ง


ด้วยชื่อเสียงของตัว ลุค เบสซง เองอยู่ที่ในวงการมากว่า 30 ปี  สร้างผลงานน่าประทับใจไว้มากมาย โดยเฉพาะ The Fifth Element ที่ลุคได้แสดงวิสัยทัศน์ของตัวเองลงไปในหนังอวกาศให้กลายเป็นหนังในดวงใจของหลาย ๆ คน รวมถึงแอด ซึ่งชอบมาก


พอลุคประกาศว่าจะกลับมาทำหนังอวกาศอีกครั้งจึงได้แรงสนับสนุนมากมายทั้งเงินทุนที่พุ่งทะยานไปถึง 220 ล้านเหรียญ กลายเป็นหนังนอกฮอลลีวู้ดเรื่องแรกในประวัติศาสตร์ที่ใช้ทุนสร้างสูงขนาดนี้ แม้สุดท้ายจะใช้จริงเพียง 180 ลานเหรียญ และการจะเสกสรรค์ภาพให้ได้ตามจินตนาการของลุคเบสซง ถึงกับต้องใช้บริษัทสร้างภาพซีจีระดับแนวหน้าของโลกถึง 3 บริษัท WETA ของปีเตอร์ แจ็คสัน จาก Lord of the rings, ILM ของจอร์จ ลูคัส ใน Star wars และ Rodeo FX ที่เคยทำ Gods Of Egytpt และ Warcraft




เรื่องย่อ

วาเลเรียน (Valerian) และ ลอเรลีน (Laureline) พวกเขาอยู่ในหน่วยงานของรัฐบาลเพื่อรักษาความสงบสุขของจักรวาล ด้วยความใกล้ชิดทำให้ วาเลเรียน แอบหลงรัก ลอเรลีน คู่หูของเขา แต่เพราะอดีตเรื่องผู้หญิงของเขาที่ไม่ค่อยดีนัก ทำให้ลอเรลีนไม่ตอบรับรักด้วย แต่แล้ววันหนึ่งพวกเขาได้รับภารกิจจากผู้บังคับบัญชา (Clive Owen)  วาเลเรียนและ ลอเรลีน ต้องเดินทางไปยังเมืองอัลฟ่า (Alpha) เมืองที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตหลากหมื่นสายพันธุ์ จากทุกมุมของจักรวาลมารวมอยู่ที่นี้ แต่เหตุการณ์ร้ายๆกำลังจะเกิดขึ้น ทั้งจักรวาลต้องพึ่งพา พวกเขาทั้งคู่ เพื่อหยุดภัยร้ายครั้งยิ่งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า…


สรุปรีวิว จบในรวดเดียว

หนังเปิดเรื่องได้อย่างน่าสนใจด้วยการเล่าความเป็นมาของ “อัลฟ่า” นิคมจักรวาลที่ถือกำเนิดจากสถานีอวกาศของโลกมนุษย์  จากสถานีอวกาศของชาติต่าง ๆ บนโลกมาเชื่อมต่อกันและเริ่มได้รับการสานสัมพันธ์จากดาวอื่น ๆ จนผ่านไป 400 ปี สถานีก็ขยายไปจนมโหฬาร ถือเป็นฉากที่น่ารัก และน่าสนใจมาก ดูสนุกน่าตื่นตา แต่ก็อยู่บนสมมติฐานที่น่าจะเกิดขึ้นจริงได้ในอนาคต


งานจินตนาการ ต้องยกนิ้วให้ว่าล้ำจริงๆ ไม่เพียงดีไซน์ลักษณะของมนุษย์ต่างดาว แต่ดีไซน์ไปได้ไกลถึงวัฒนธรรม การดำรงชีวิต รวมถึงดวงดาว และพฤติกรรมของมนุษย์ต่างด้าวเหล่านั้น ซึ่งยอมรับว่าในเรื่องนี้ ทำได้ดีกว่า Star Wars อีก ชอบฉากล้างหน้าด้วยไข่มุก 555


แอคชั่นไม่ได้จัดหนักมากใช้เทคโนโลยีลูกเล่นเจ๋งๆ แปลกใหม่ในการต่อสู้ในหลายๆฉาก เน้นความหวือหวาของงานภาพและซีจี ชอบมากที่สุดคงเป็นไอเดียการสร้างตัวละคร และ ฉากต่างๆ ที่เหนือจินตนาการใส่ใจทุกรายละเอียด บิ๊กมาร์เก็ต ตรอกพาราไดซ์ ดาวมิวต์ สถานีอัลฟ่าฯ ส่วนตัวละครต่างด้าวก็แปลกแต่ดีมีความตลกปะปนอยู่มาก


บิ๊กมาร์เก็ตเนี่ยล่ะ ก็เป็นอีกหนึ่งจินตนาการที่ต้องยกนิ้วให้สองนิ้วว่า “ไอเดียพี่ลุคล้ำจริง ๆ” ไม่เล่ารายละเอียดนะ ให้ไปดูเอาเอง


เส้นเรื่องที่เขียนไว้เบา ๆ แต่แอบมีปริศนาน่าสนใจ ว่ามีมุมลึกลับอยู่ในอัลฟ่า ที่หนังพยายามจะบอก จะพาเราไปสู่เรื่องราวแบบไหน ซึ่งทำให้คิดและลุ้นสนุกตามตลอดเรื่อง แถมยังมีมุกตลกแทรกให้ขำขันได้ตลอดเรื่อง


ความสนุกของหนังหลัก ๆ แล้วมาจากจินตนาการบรรเจิดของเจ้าของเรื่องและถูกต่อยอดออกมาเป็นภาพจริงด้วยวิสัยทัศน์ของลุค เบสซง ที่เคยทำสำเร็จมาแล้วจาก The Fifth Element ลุคเลือกหยิบเอาจุดที่คนดูเคยประทับใจมาใช้ได้หมด ทั้งอารมณ์ขันมากมายในหนัง ความยียวนของตัวละครนำ นางเอกน่ารักโดนใจ และที่สำคัญรอบนี้ได้เงินทุนที่มากขึ้น บวกกับวิวัฒนาการของซีจีที่ลุค ทำไม่ได้เมื่อ 20 ปีก่อน คราวนี้ก็เลยจัดเต็ม เรียกได้ว่าทุกนาทีของหนังจะมีอะไรออกมาให้ตื่นตาตื่นใจตลอดเวลา ละสายตากันไม่ได้เลย




หนังตอกย้ำความประทับใจจากฉาก ร้องโอเปร่า ใน The Fifth element ที่หลายคนประทับใจ ลุค ก็เลยหยอดฉากร้องเพลงมาในเรื่องนี้ด้วย และรอบนี้ก็เป็นหน้าที่ของ ริฮานนา ที่เธอได้ 2 นาทีเป็นฉากโชว์เดี่ยวของตัวเอง และต้องย้ำว่าเธอทำได้เริ่ด 10 10 10 ไปเลยจ้ะ แม่ก็คือแม่

ส่วนข้อเสียก็คงเป็น การลำดับเรื่องไม่อาจคุมโทนความสนุกได้ องก์แรกของหนัง เป็นอะไรที่ดีงามมากๆ เต็มไปด้วยไอเดีย วัฒนธรรมแปลกๆ สนุก และน่าสนใจไปพร้อมๆกัน แต่ตลอดองก์ 2 และ 3 หนังจะดำเนินเรื่องไป เรื่อยๆ จากส่วนนี้ไปส่วนนั้น จู่ๆนั่นก็โผล่มา จู่ๆนี่ก็โผล่มา บางเรื่องก็คลายไปง่ายๆ เป็นอะไรที่ดูแล้วขัดนิดนึง

อีกเรื่องคือ เดนกับคาร่า โอเคในฉากที่ให้เล่นเป็นตัวเอง แต่พอบทต้องการมากกว่านั้น ก็ดูยังไม่สุด โดยเฉพาะคาร่า ยิ่งฉากหวานของทั้งคู่ เคมียังดูไม่ค่อยเข้า แต่คาร่า นางสวยมาก ส่วนเดน นี่ดูในหนังหล่อกว่าตัวจริง

ส่วน คริส วู หรือ ลูฮาน นั้น ถือว่าออกมาโชว์หน้าหล่อๆ แบบวัวตายควายล้ม แต่บทที่เขาได้กลับดูไม่ค่อยเด่นเท่าไหร่




รุปแล้ว โทนของหนังเป็น ไซไฟ-คอมมีดี้ ซึ่งน่าจะดูกันออกแล้วตั้งแต่ตัวอย่างหนัง ภาพของหนังจะสดใสเต็มไปด้วยสีสัน และอารมณ์ขัน แซมโรแมนติกเล็ก ๆ ไม่ได้เข้มข้นเคร่งเครียด อย่างใน Star Wars หรือ Star Trek ไม่มีอารมณ์อาฆาตแค้นเคืองระหว่างตัวละคร ไม่ขายฉากยานอวกาศไล่ยิงกัน
หนังน่าจะใกล้เคียงกับ Guardian Of The Galaxy จึงเป็นหนังที่ค่อนข้างจะเอาใจผู้ชมกลุ่มวัยรุ่นลงมาถึงวัยเด็กเล็ก ที่พ่อแม่จูงลูกไปดูได้อย่างปลอดภัย ไร้พิษภัย บนเนื้อหาที่ไม่มีอะไรซับซ้อนมากมาย สรุปได้ว่าเป็นหนังที่สนุก แม้เนื้อเรื่องโดยรวมอาจดูตัดสลับ ไม่สามารถคุมโทนความสนุกในองค์แรกได้ตลอดเรื่อง เพราะฉะนั้น ถ้าเอาความสนุกเนื้อเรื่องอย่างเดียวให้แค่ 7/10
แต่พอบวกคุณความดีของหนัง ที่ได้จากความอลังการของงานซีจี จากจินตนาการล้ำ ๆ ทีไม่ซ้ำกับหนังอวกาศก่อนหน้า และคุณความดีในเรื่องความพยายามของ ผู้กำกับ
จึงให้คะแนน >>> 8/10 (ให้เพราะงานภาพล้วนๆ)
เอาเป็นว่า เป็นหนังที่งานภาพเลอเลิศ ที่สามารถสร้างความตื่นตาได้ ไม่ต่างจากการได้ดู Avatar เมื่อ 8 ปีก่อน และดีงาม สนุก ตื่นเต้น ตลอดเรื่อง แม้เนื้อเรื่องจะดูเบาๆ ไปบ้าง ไม่มีความลึกในอารมณ์มากมาย แต่แค่ได้เสียเงินเข้าไปดูหนังที่มีงานภาพระดับนี้ก็คุ้มแล้วล่ะ นี่แอบหวังให้มีภาคต่อนะ
ชมได้แล้ววันนี้ ทุกโรงภาพยนตร์ ดู Trailer ได้ด้านล่าง

ความคิดเห็น